“ฉันไม่ใช่ชาร์ลี” โดย ชัยวัฒน์ สถาอานันท์
พนา ชื่นวินิจ แปลจากบทความ “Je ne suis pas Charlie”, by Chaiwat Satha-Anand ใน http://www.nonkilling.org/node/593
มกราคม 2015
การเดินขบวนในกรุงปารีสเพื่อความเป็นหนึ่งเดียวกันเมื่อวันอาทิตย์ที่ 11 มกราคม ค.ศ.2015 ที่ผ่านมาได้ดึงดูดผู้คนนับล้านๆและเหล่าผู้นำระดับโลกให้มารวมกัน ซึ่งรวมทั้ง นางแมเคิลแห่งเยอรมนี , นายคาเมรอนแห่งอังกฤษ , นายดาวูโตกลูแห่งตุรกี , นายเนธันยาฮูแห่งอิสราเอล และนายอับบาสแห่งปาเลสไตน์ และอีกหลายๆคนด้วย การกระทำที่ไม่ธรรมดาจากเหล่าผู้นำและเหล่าพลเมืองนี้คงเป็นการตอบโต้ต่อกรณีสัปดาห์นองเลือดที่ทำให้มีผู้เสียชีวิตถึง 17 คนซึ่งไม่ได้เกิดขึ้นมานานกว่าครึ่งศตวรรษแล้วในประเทศฝรั่งเศส เริ่มต้นที่การฆ่าคน 12 คนซึ่งทำงานอยู่ที่นิตยสารอย่าง "Charlie Hebdo" ซึ่งก่อนหน้านี้เป็นที่รู้จักกันไม่แพร่หลายนัก ประธานาธิบดีฟรองซัวส์ โอลองด์แห่งฝรั่งเศสถึงกับเตือนว่าภัยคุกคาม (threat) ที่มีต่อฝรั่งเศสนี้ยังไม่จบลง แม้จะมีผู้ต้องหาเสียชีวิตไปแล้ว 3 คนก็ตาม ภัยคุกคามที่ว่านี้เป็นเรื่องจริง ไม่ใช่แค่เพราะมีการเก็บข้อมูลจากหน่วยข่าวกรองมาอย่างมากมายเท่านั้น แต่ยังเป็นเพราะความรุนแรงและตัวชี้วัดถึงรอยร้าวในวิถีทางแบบยุโรปที่ตามมา ซึ่งอันที่จริงแล้วก็คือวิถีทางของโลกด้วยน่ะนะครับ มันกำลังเผชิญหน้ากับการปะทะกันอย่างรุนแรงของชุดจริยศาสตร์/ชุดคุณค่าที่ต่างกัน อันเป็นสิ่งที่ผู้คนปรารถนาที่จะตายเพื่อมันได้ และในบางครั้งก็ยอมฆ่าแกงกันเพื่อมันได้ด้วย บทความชิ้นนี้คือความพยายามที่จะถกเถียงกับคำขวัญอย่าง "ฉันคือชาร์ลี" (“Je suis Charlie”) ที่ใช้เพื่อยกย่องกันในแง่ของการร่วมเป็นหนึ่งเดียวกันกับบรรดาเหยื่อของความรุนแรงอันไร้เหตุผลนี้ ซึ่งคำขวัญดังกล่าวได้เปลี่ยนรูปแปรโฉมการฆ่าให้กลายเป็นการเมืองของอัตลักษณ์ซึ่งอาจทำให้เกิดความขัดแย้งที่ทำให้ถึงตายได้ในบริบทปัจจุบัน หากสัญญาณต่างๆที่ดำรงอยู่นั้นได้รับการทำความเข้าใจอย่างเหมาะสมนะครับ
ว่าด้วยสัญญาณ (Signs)
การโต้ตอบต่อการฆ่าที่เกิดขึ้นในกรุงปารีสนั้นก็ยังแย้งได้อยู่นะครับ เพราะมีรายงานหลายชิ้นเลยที่บอกว่าชาวมุสลิมตกเป็นเป้าของการโจมตีอยู่บ่อยครั้ง ไม่ว่าจะเป็นการที่มีคนเข้าไปดึงผ้าคลุมฮิญาบของผู้หญิงมุสลิม , การเอาหมูไปโยนใส่มัสยิดที่ Le Blanc-Mesnil , การปาระเบิดมือประเภท non-lethal hand grenades เข้าไปในมัสยิดที่ Le Mans , การบุกยิงที่มัสยิดในทางตอนใต้ของฝรั่งเศส , และการเขียนข้อความบนกำแพงมัสยิดที่ Poitiers ว่า "ไปตายซะไอ้พวกอาหรับ" (“Death to the Arabs”) ผมไม่ได้กำลังจะเปรียบเทียบไอ้การโจมตีเล็กๆน้อยๆที่ว่ามานี้กับการฆ่าที่เกิดขึ้นในกรุงปารีสนะครับ แต่ทั้งสองอย่างนี้สามารถเอามามองเป็นตัวชี้วัดของความขัดแย้งถึงขั้นฆ่ากันตายที่เพิ่มมากขึ้นได้ งานวิจัยเรื่องความรุนแรงต่อพื้นที่ศักดิ์สิทธิ์ในหลายๆที่ (เช่น วัด โบสถ์คริสต์ มัสยิด โบสถ์ยิว และที่อื่นๆ) ในโลก ตั้งแต่ที่ปากีสถานถึงไนจีเรีย รวมทั้งในประเทศไทยด้วย ได้ชี้ให้เห็นนะครับว่า เมื่อศาสนิกชนเหล่านั้นถูกโจมตี ผู้คนที่ให้ความเคารพพวกเขาต่างมีปฏิกิริยาต่อเรื่องนี้ด้วยความโกรธเคืองทางศีลธรรม (moral outrage) และในหลายๆครั้งก็มีปฏิกริยาต่อเรื่องนี้ด้วยความรุนแรง เพราะนั่นมันคือความศักดิ์สิทธิ์ของพื้นที่ซึ่งได้ก่อให้เกิดอำนาจทางวัฒนธรรมที่ผลิตสร้างอัตลักษณ์ร่วมกันในชุมชนนั่นเอง หนึ่งในเหตุผลหลายๆข้อว่าทำไมการโจมตีไปยังกลุ่มเป้าหมายเหล่านี้ซึ่งให้ค่ากับความหมายของสัญลักษณ์ทางศาสนานั้นเป็นอันตรายอย่างร้ายแรงได้ด้วยคำสาปของการยิ่งก่อความขัดแย้งที่ทำให้มีคนตายมากขึ้นนั้นเป็นเพราะว่า ที่ๆสามารถถูกความรุนแรงทำให้เจ็บปวดได้นั้นไม่ใช่ร่างกายเนื้อหนัง (physical body) หากแต่เป็นตัวตนของชุมชนต่างหาก (communal self) ไอ้เจ้า "ตัวตน" ที่ว่านี้สะท้อนให้เห็นถึงสำนึกของความเป็นชุมชนซึ่่งดำรงอยู่ในขอบเขตเฉพาะ เป็นขอบเขตที่ไม่เหมือนกับเขตแดนของประเทศนะครับ แล้วผลที่ตามมาก็คือ เมื่อพื้นที่ศักดิ์สิทธิ์ของคนเหล่านี้ตกอยู่ภายใต้ความรุนแรงหรือภัยคุกคามแล้วเนี่ย ความโกรธของเหล่าสมาชิกในชุมชนแห่งศรัทธาแต่ละแห่ง (communities of faith) และในแต่ละช่วงเวลาจึงมีการโต้ตอบกลับอย่างรุนแรง ซึ่งก็เป็นเรื่องที่เราคาดได้ว่าจะเกิดขึ้น [โปรดดูในงานวิจัยชื่อ Protecting Sacred Spaces, Creating Peace in Asia-Pacific (Transaction, 2013).]
ว่าด้วยความแตกต่าง (Differences)
ตอนที่ผมกำลังค้นอินเตอร์เน็ตเพื่อหารูปภาพของศาสดามูฮัมหมัดและหินกะฮฺบะฮฺในนครเมกกะเมื่อครั้งที่ท่านศาสดาได้แก้ปัญหาความขัดแย้งระหว่างชาวเมกกะด้วยกันผ่านการกระทำที่ไม่มีความรุนแรงอย่างที่มีบอกไว้ในประวัติศาสตร์ เพื่อเอามาใช้ประกอบการบรรยายในวิชาของผมที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์เมื่อวันที่ 7 มกราคมที่ผ่านมานั้น ผมก็ได้พบรูปภาพที่น่ากลัวซึ่งเป็นภาพโป๊เปลือยวางอยู่บนผ้าสีดำที่ใช้คลุมหินกะฮฺบะฮฺน่ะครับ แว๊บแรกที่เห็นภาพน่ารังเกียจเช่นนั้น ผมถึงกับช็อค เพราะในฐานะที่ผมเป็นมุสลิม หินกะฮฺบะฮฺถือเป็นศูนย์กลางของพิธีฮัจจ์ที่พวกผู้แสวงบุญเขาพากันเดินวนรอบที่ประดิษฐานนั้นในฐานะส่วนหนึ่งของพิธีกรรมอันศักดิ์สิทธิ์ของศาสนาอิสลาม ซึ่งถือเป็นหนึ่งในบทบัญญัติห้าประการตามหลักศาสนาอิสลามด้วย พอหายช็อคแล้วเนี่ย ผมก็โกรธด้วย ผมจึงเริ่มคิดถึงคนอื่นๆในครอบครัวและในชุมชนของผมว่า พวกเขาจะคิดยังไงนะถ้าได้เห็นรูปภาพนี้? พวกเขาอาจโกรธและสาปแช่งคนที่ทำแบบนี้ต่อศาสนวัตถุที่พวกเขาเคารพซึ่งประดิษฐานอยู่ในวิหารศักดิ์สิทธิ์ก็ได้ ผมคิดไม่ออกเลยว่าจะมีใครคิดใช้ความรุนแรงเพื่อตอบโต้ "คนเหล่านั้น" แล้วปล่อยให้ชะตากรรมของคนเหล่านี้อยู่ในพระหัตถ์ของพระเป็นเจ้าได้ อย่างไรก็ตามนะครับ คุณแม่ที่รักของผมซึ่งท่านได้ล่วงลับไปแล้วนั้น ท่านคงจะไปไกลยิ่งกว่านั้นและอาจจะถามขึ้นก็ได้ว่า นี่โลกนี้มันเป็นอะไรไปแล้วกันนะ ถึงได้มีคนบางคนทำเรื่องแบบนี้ขึ้นมาได้ หมายถึงที่ทำรูปภาพน่ารังเกียจมาละเมิดคนอื่นแบบนี้น่ะครับ แล้วท่านก็คงถามด้วยว่ามันเกิดอะไรขึ้นกับโลกนี้นะ ถึงได้มีคนลุกขึ้นจับปืนไปฆ่าแกงคนอื่นกันน่ะ รวมทั้งพวกที่ร่วมมือกับคนเช่นนี้ด้วย ฆ่าแกงกันอย่างเลือดเย็นแบบนี้เลยหรือ? คำถามนี้สำคัญ เพราะมันไม่ได้ถามว่าใครเป็นคนทำเรื่องแบบนี้ แต่มันถามว่าอะไรคือเงื่อนไขของโลกในทุกวันนี้ที่ทำให้คนเหล่านี้ทำเรื่องแบบนั้นต่างหาก ไม่ได้มีแค่คำถามเรื่องเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็นที่ได้ปะทะกับฝ่ายตรงข้ามของเสรีภาพนี้เท่านั้นนะครับ แต่ผมอยากบอกว่าตอนนี้โลกได้เคลื่อนเข้าไปสู่พื้นที่ของการปะทะกันระหว่างชุดจริยศาสตร์ขั้นมูลฐาน 2 ชุดเสียแล้ว อันได้แก่ จริยศาสตร์แห่งอัตตาณัติ (ethics of autonomy) ซึ่งถือว่ามนุษย์เป็นปัจเจกชนที่มีอัตตาณัติ มีความปรารถนาและพึงพอใจเฉพาะตน ซึ่งได้ปะทะเข้ากับจริยศาสตร์แห่งความศักดิ์สิทธิ์/ชุมชน (ethics of divinity/community) ที่มองว่ามนุษย์เป็นพาหนะชั่วคราวที่ใส่ดวงวิญญาณอันศักดิ์สิทธิ์เข้ามาเพื่อให้มีความหมายขึ้นมาได้ก็ด้วยการเป็นส่วนหนึ่งของกลุ่มที่ใหญ่กว่า เช่น ครอบครัว (families) หรือ ชุมชนทางศรัทธา (communities of faith) ผมจะขอชี้ให้เห็นถึงความแตกต่างของจริยศาสตร์สองชุดนี้แบบนี้นะครับ ในตอนปี ค.ศ.1475 เนี่ย ฮันส์ เมมลิง (Hans Memling) ได้วาดภาพ “the Allegory of Chastity” ขึ้นมา โดยมีพระแม่มารีย์อยู่บนยอดเขาที่เป็นเพชรพลอยมีค่า ข้างล่างมีธารน้ำใสสะท้อนความบริสุทธิ์ของพระนาง มีสิงโตสองตัวคอยพิทักษ์ความบริสุทธิ์ดังกล่าว พอห้าร้อยปีต่อมาในงานนิทรรศการแสดงศิลปะที่นครนิวยอร์ก รูปวาด “The Holy Virgin Mary” ของคริส ออฟิลิ (Chris Ofili) ได้ให้ภาพของพระแม่มารีย์เป็นหญิงผิวดำ มีแคมช่องคลอดเพศหญิงอยู่รอบๆพระนาง และป้ายรูปนี้ด้วยขี้ช้าง ในขณะที่รูปวาดของเมมลิงนั้นสื่อถึงความบริสุทธิ์ซึ่งถือเป็นคุณธรรมประการหนึ่งที่คนเราควรสงวนรักษาไว้ แต่โลกของออฟิลินั้นกลับเป็นโลกที่การล้อเลียนสิ่งศักดิ์สิทธิ์หรือการทำลายความบริสุทธิ์นั้นเป็นสิ่งที่ทำได้ และสำหรับบางคนก็ถือเป็นเรื่องน่ายกย่องสรรเสริญอีกด้วย หากว่ากันตามจริยศาสตร์แห่งอัตตาณัติแล้ว ภาพวาดพระแม่มารีย์ที่ว่านี้จึงเลื่อนไหลไปพร้อมกับความเข้าใจในแง่มุมใหม่ๆต่อร่างกายของมนุษย์ซึ่งผมว่ามันสื่อความได้ดีที่สุดจากสติกเกอร์ยอดนิยมที่เขียนว่า "ร่างกายของคุณอาจเป็นดั่งวิหารศักดิ์สิทธิ์ แต่ร่างกายของฉันน่ะเป็นสวนสนุก" (“Your body may be a temple, but mine’s an amusement park.”) ยิ่งสังคมสมัยใหม่เคลื่อนตัวเร็วมากขึ้นไปสู่ความโดดเดี่ยวและเชื่อมต่อกันด้วยโลกเสมือน แทนการพบปะสัมพันธ์กันในโลกแห่งความเป็นจริงมากเท่าไหร่ ความจำเป็นในการเข้ามาร่วมสังกัดก็ยิ่งเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะในหมู่คนที่ถูกกีดกันสิทธิเพราะเป็นผู้อพยพเข้ามา (immigrants) ใครหลายๆคนจึงได้ค้นหาและได้พบความหมายของชีวิตตัวเองโดยกระทำการต่อต้านผู้คนเหล่านี้ด้วยการไปละเมิดสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่คนเหล่านั้นนับถือนั่นเอง
ว่าด้วยเรื่องของการหาทางเลือกอื่นๆอีกเยอะแยะ (Choices)
ถ้าผมพูดถูกล่ะก็ ไอ้การปะทะกันระหว่างชุดจริยศาสตร์ที่ต่างกันนี้จะยังคงมีต่อไปเรื่อยๆและอาจจะยิ่งก่อให้เกิดความรุนแรงมากขึ้นด้วยซ้ำ ในบริบทโลกยุคปัจจุบันเนี่ย คำพูดของเอวลีน เบียทริซ ฮอลล์ (Evelyn Beatrice Hall) ที่ว่า "ข้าพเจ้าอาจจะไม่เห็นด้วยกับสิ่งที่ท่านพูด แต่ข้าพเจ้าจะปกป้องสิทธิในการพูดของท่านด้วยชีวิต" (I disapprove of what you say, but I will defend to the death your right to say it) ซึ่งมักจะถือว่าเป็นคำพูดของวอลแตร์นั้นปรากฏอยู่ทุกที่เพื่อใช้ในการปกป้องเสรีภาพ ถึงแม้คำพูดนี้จะเร้าใจก็จริงน่ะนะครับ แต่ผมไม่คิดว่าผมสามารถยอมรับคำพูดนี้ของฮอลล์/วอลแตร์ได้โดยไม่มีข้อจำกัด ไม่ใช่เพราะว่าวอลแตร์เคยเขียนบทละครโศกนาฏกรรมเรื่อง Le Fanatisme ou Mahomet ซึ่งให้ภาพศาสดามูฮัมหมัดในฐานะศาสดาจอมลวงโลกหรอกนะครับที่ทำให้ผมไม่อาจยอมรับคำพูดของเขาได้ แต่เป็นเพราะผมคิดออกว่าจะมีตั้งหลายกรณีที่ผมย่อมจะไม่ปกป้องสิทธิที่จะพูดไม่ว่าจะเป็นคำพูดของใครก็ตาม อย่างเช่น การที่มีคนพูดเพื่อสนับสนุนการมีทาส , การมีเซ็กส์กับเด็ก , การฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ และการเหยียดเชื้อชาติ เรื่องเหล่านี้ไม่ใช่เป็นเพียงแค่คำกล่าวแสดงความเห็นเท่านั้น หลายต่อหลายครั้งมันยังเป็นการให้ความชอบธรรมกับการเอาไปทำจริงๆอีกด้วย ดังนั้นผมว่าไม่ควรที่เรื่องเหล่านี้จะได้รับการปกป้องให้ได้แสดงความเห็นได้นะครับ ยิ่งไปกว่านั้น ถ้ามองจากมุมมองของจริยศาสตร์แห่งความศักดิ์สิทธิ์/ชุมชนด้วยแล้ว ผมยิ่งไม่ต้องการจะมีชีวิตอยู่ในโลกที่ไม่มีความศักดิ์สิทธิ์หลงเหลืออยู่อีกต่อไปนะครับ ท่ามกลางของหลายๆอย่างเนี่ย ผมพบว่าสิ่งที่ศักดิ์สิทธิ์นั้นก็คือชีวิตของคน รวมทั้งหลายๆสิ่งหลายๆอย่างที่เขาหรือเธอเหล่านั้นรักด้วย ไม่ว่าจะเป็น พระคัมภีร์อันศักดิ์สิทธิ์ , พระศาสดา , ศาสนวัตถุ และอื่นๆอีก ผลที่ตามมาก็คือ ผมไม่สามารถระบุตัวตนของผมเข้ากับ Charlie Hebdo ได้ เพราะผมเชื่อว่า คนเราสามารถที่จะวิพากษ์วิจารณ์ ล้อเลียนเสียดสี และโดยเฉพาะอย่างยิ่งคือมีอารมณ์ขันกันได้แบบผู้มีอารยะ ส่วนบรรดาคนที่ต่อต้านเรื่องต่างๆในทางวัฒนธรรม (cultural objects) ที่พวกเขามองว่ามันน่ารังเกียจนั้น ผมว่าคนที่เป็นผู้ประท้วงที่มีศักยภาพ (potential protesters) ซึ่งมาจากจริยศาสตร์แห่งความศักดิ์สิทธิ์/ชุมชนนั้น จำเป็นจะต้องทำความเข้าใจเสียด้วยว่า โดยการที่ไปฆ่าคนอื่นนั้น พวกเขาเองก็กำลังเปลี่ยนให้ศัตรูของพวกเขา ซึ่งหมายถึง บรรดาโปรดิวเซอร์ ผู้กำกับ นักเขียน และพวกบรรณาธิการให้กลายเป็นวีรุบุรษนะครับ และยังได้ทำให้สิ่งที่พวกเขามองว่าน่ารังเกียจนั้นกลายเป็นสัญลักษณ์ทางวัฒนธรรมที่ทรงพลังมากยิ่งขึ้นอีกต่างหาก การประท้วงที่มีความหมายในบริบทของพื้นที่ๆให้ค่ากับจริยศาสตร์แห่งอัตตาณัติย่อมต้องมีความเข้าใจในเรื่องของเศรษฐศาสตร์วัฒนธรรม (cultural economy) ที่จะนำไปสู่วิธีการอีกตั้งมากมายโดยที่เราไม่ต้องมาฆ่าแกงกัน เช่น การคว่ำบาตรทางเศรษฐกิจอะไรแบบนี้ก็ได้ นี่ต่างหากล่ะที่ศาสนาอิสลามสอน เพราะแม้ว่าชาวมุสลิมจะถูกสอนมาให้ต่อสู้กับผู้ที่รุกรานเพื่อองค์อัลลอฮฺก็ตาม แต่ชาวมุสลิมเองก็ได้รับการบอกกล่าวมาเช่นกันว่า "ถ้าผู้ใดสังหารชีวิตหนึ่งโดยไม่ใช่เป็นการชดเชยอีกชีวิตหนึ่ง หรือไม่ใช่เนื่องจากการบ่อนทำลายในแผ่นดินแล้ว ก็ประหนึ่งว่าเขาได้สังหารมนุษย์ทั้งมวล" (กุรอาน 5:32) บางคนอาจแย้งได้ว่า Charlie Hebdo กำลังบ่อนทำลายแผ่นดินนะ ฉะนั้นพวกคนที่ทำงานที่นั่นจึงสมควรถูกฆ่า แต่อัลกุรอานกลับสอนต่างออกไปนะครับ เพราะพระเป็นเจ้าเองก็ทรงตรัสไว้ด้วยเช่นกันว่า "ถ้าผู้ใดช่วยชีวิตคนแม้เพียงคนเดียว ก็เท่ากับว่าเขาได้ช่วยชีวิตคนทั้งปวงด้วย" (กุรอาน 5:32) ชีวิตคนหนึ่งคนเท่ากับมนุษยชาติทั้งมวลนั้นย่อมเป็นไปได้ เพราะความศักดิ์สิทธิ์ของชีวิตนั้นยังคงดำรงอยู่ และชีวิตของคนก็จำเป็นต้องได้รับความเคารพนับถือด้วยเช่นกัน.
____________________________________
โปรดดูข่าวอื่นๆที่เกี่ยวข้องในประเด็นนี้ใน
จันจิรา สมบัติพูนศิริ : ทำความเข้าใจการเสียดสีผ่านพื้นที่ทางประวัติศาสตร์ ใน http://prachatai.org/journal/2015/01/57674
พิจิตรา ศุภสวัสดิ์กุล : ความพร่าเลือนของเส้นแบ่ง เสรีภาพ กับ Hate speech ใน http://prachatai.org/journal/2015/01/57690
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น